แนวทางการปรับปรุงดินหลังน้ำลด
ในช่วงนี้ แม้จะเป็นช่วงหน้าหนาวแล้วก็ตาม แต่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะทางภาคใต้กลับมี ฝนตกหนักจนทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ซึ่งลักษณะอย่างนี้ส่งผลกระทบต่อเรือกสวนไร่นาของ พี่น้องเกษตรกรอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงทีเดียว
เมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน และเมื่อน้ำลดลงแล้ว ผลกระทบที่จะตามมา คือ ดินจะเกิดช่องว่างหรือเป็นรูพรุนทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และดินจะอิ่มตัวด้วยน้ำจนอ่อนตัว ทำให้โครงสร้างของดินง่ายต่อการถูกทำลายและเกิดการอัดแน่นได้ง่าย ดังนั้นในการจัดการดินหรือการเตรียมดินหลังน้ำลดเพื่อให้เหมาะสมต่อการทำเพาะปลูกพืชต่อไป จึงเป็นสิ่งจำเป็นและต้องทำอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติไว้ดังนี้
ประการแรก ให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องจักรกลหนักในการเตรียมดิน เพราะเครื่องจักรจะทำให้ดินยุบตัวและส่งผลให้ดินแน่นทึบ เกิดการไหลซึมและการระบายน้ำได้ไม่ดี อาจทำให้น้ำท่วมขังและไหลบ่าไปตามหน้าดินมากขึ้น และดินจะขาดการถ่ายเทอากาศ อันจะเป็นปัจจัยที่จำกัดการเจริญเติบโตของรากพืช ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคในการใช้ที่ดินในการเกษตรทั้งสิ้น ดังนั้นเกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการเตรียมดินด้วยเครื่องจักรกลหนัก
ประการที่สอง ควรปลูกพืชโดยไถพรวนดินให้น้อยที่สุด เพื่อลดการรบกวนดินหรืออาจปลูกพืชโดยไม่มีการไถพรวนดินเลย
ประการที่สาม หากจำเป็นต้องไถพรวนควรใช้เครื่องมือเบาหรือเครื่องมือขนาดเล็ก แต่ต้องรอให้หน้าดินเริ่มแห้งเสียก่อน หรือมีความชื้นพอเหมาะสำหรับการไถพรวนหรือขณะที่วัชพืชกำลังเริ่มงอก ทั้งนี้เพื่อทำลายหรือกำจัดวัชพืชก่อนปลูกพืชหลัก นอกจากนี้อาจหว่านเมล็ดพืชหลักแล้วไถกลบรวมทั้งช่วยกำจัดวัชพืชที่เพิ่งเริ่มงอกไปพร้อม ๆ กันในครั้งเดียวก็ได้
ประการที่สี่ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำที่มีอยู่ในดินหลังน้ำลดให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุด โดยการหว่านหรือหยอดเมล็ดพืชโดยไม่ต้องไถพรวน หรือเปิดร่องฝังเมล็ดพืชแล้วกลบเท่านั้น
ประการที่ห้า หากเป็นไปได้พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขัง ควรมีการพักดินสักระยะ ทั้งนี้การพักดินถือเป็นการปรับปรุงบำรุงดินวิธีหนึ่ง โดยปล่อยพื้นที่ทิ้งว่างไว้ให้หญ้าและวัชพืชเจริญเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ หรืออาจปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินไว้ เช่น ถั่วพร้า ถั่วมะแฮะ ซีรูเลียม เซ็นโตรซีมา เป็นต้น
วิธีการที่ได้กล่าวถึงไปแล้วนี้ นอกจากจะเหมาะกับการฟื้นฟูสภาพดินหลังน้ำลดแล้ว ยังเหมาะสำหรับการเตรียมการไว้ก่อนน้ำท่วมอีกด้วย คือ ในบริเวณที่แน่ใจว่าจะมีน้ำท่วมขังในปลายฤดูฝนก็อาจปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินไว้ก่อนหรือปลูกพืชไร่อายุสั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ก่อนจะมีน้ำท่วมขัง โดยปลูกให้มีระยะถี่กว่าปกติ และวางแถวพืชขวางความลาดเทของพื้นที่ หรือขวางทิศทางการไหลของน้ำ และเมื่อเก็บผลผลิตพืชไร่แล้วให้ทิ้งตอซังไว้ในพื้นที่โดยไม่ต้องไถกลบ ทั้งนี้ตอซังที่ไถกลบไปนั้นจะช่วยลด ความรุนแรงของกระแสน้ำ และช่วยยึดหน้าดินไม่ให้น้ำพัดพาออกไปจากพื้นที่
ประการที่หก ในบางพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขังในบางจุด เกษตรกรต้องเร่งทำการระบายน้ำหลังน้ำลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวนไม้ผล ไม้ยืนต้น การระบายน้ำออกจากพื้นที่เร็วที่สุดจะเติมอากาศหรือออกซิเจนให้กับดิน ซึ่งจะเร่งการฟื้นตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดน้ำและปุ๋ยของรากให้ดีขึ้นโดยเร็วด้วย สำหรับการขุดร่องระบายน้ำนั้น กรมวิชาการเกษตรแนะนำว่า ควรขุดให้ลึกเท่ากับความลึกที่ต้องการระบายน้ำออก ในทางปฏิบัติควรขุดร่องให้ลึกอย่างน้อย 30-50 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับความลึกที่เป็นอยู่ของรากพืชส่วนใหญ่ น้ำจะระบายออกจากพื้นที่ในระดับความลึกไม่เกินความลึกของร่องระบายน้ำ ดังนั้นการขุดร่องน่าจะต้องขุดตามแนวลาดเทของพื้นที่ โดยใช้ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 8-12 เมตร หรือกึ่งกลางระหว่างแถวพืชยืนต้น
การจัดการดินประการสุดท้าย คือ ในสภาพน้ำป่าหลากมาท่วมพื้นที่ซึ่งมีดินทรายถูกซัดพามาทับถมอยู่บนผิวดินเดิมค่อนข้างมาก ภายหลังน้ำลดแล้วให้เกษตรกรขุดลอกดินทรายดังกล่าวออกจากพื้นที่จนถึงผิวดินเดิมหรือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้เพื่อให้ดินแห้งเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยเร่งขบวนการเติมอากาศของดินได้เร็วและดีขึ้นด้วย
นอกจากการจัดการดินแล้ว ภายหลังน้ำลดเกษตรกรควรให้ปุ๋ยทางใบกับไม้ผลไม้ยืนต้น เพื่อให้ต้นไม้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพราะรากพืชไม่สามารถทำหน้าที่ในการดูดปุ๋ยและแร่ธาตุต่างๆ ในขณะนั้นได้เต็มที่ จึงขอแนะนำให้ใช้ปุ๋ยเคมีประเภทเกล็ดสูตร 21-21-21 และ 16-21-27 หรือปุ๋ยน้ำสูตร 12-12-12 หรือ 12-9-6 ในระยะนี้ด้วย
หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการดินหลังน้ำลด ขอข้มูลเพิ่มเติมได้ที่ กองปฐพีวิทยา กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2579-6511
************
เรียบเรียงโดย ปัณจรีย์ ช่างพูด นักวิชาการเผยแพร่ 5
กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
http://www.agric-prod.mju.ac.th/web-veg/article/new130.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น